เมนู

ผู้นั้น ได้ฟังคำมารดา ก็คิดถึงคุณมารดาพามารดามาเลี้ยงไว้ดุจกาลก่อน ได้กระทำกรรมหลอก
หลอนประทุษร้ายมารดาไว้เท่านี้ ก็เป็นเวรตามตนมาทุก ๆ ชาติ แต่โจรตีตายมานี้หลายชาติ
กำหนดถึงห้าร้อยชาติ ตราบเท่าปัจฉิมชาติเป็นพระมหาโมคคัลลานะ เหตุดังนี้พระโมคคัลาน
เถรเจ้าถึงทรงไว้ซึ่งโลกุตรฤทธิ์ ก็มิอาจสู้รบป้องกันโจรได้ มหิยา ราชาโน เปรียบเหมือน
บรมกษัตริย์ทั้งหลายในพื้นพิภพปฐพี มีอานุภาพแผ่ไปแก่เสนาข้าราชการทั้งปวง ข้าราชการผู้
ใดผู้หนึ่งมิอาจสู้รบราชฤทธิ์ได้ และบรมกษัตริย์นั้น เมื่อคราวสิ้นบุญแล้ว กรรมาถึงก็มิอาจสู้
รบต้านทานซึ่งกรรมนั้นได้ ถ้ามิฉะนั้นอุปไมยดุจบุรุษผู้หนึ่งกระทำซึ่งความชั่วคือกระทำตัวเป็น
โจรปล้นสะดม ญาติพี่น้องบิดามารดาบ่ห่อนจะกระทำโทษได้ กระทำโทษแก่บุรุษผู้นั้นได้ก็
แต่พระมหากษัตริย์ ญาติบิดามารดาพี่ป้าน้าลุงนั้น มิอาจป้องกันตามทันเข้าเมื่อใด ก็มิอาจสู้
กรรมได้เปรียบเหมือนดังนั้น ใช่ว่าฤทธิ์โจรอันตีนั้นจะมากกว่าฤทธิ์พระโมคคัลลานะ นี้หามิได้
บพิตรจงเข้าพระทัยด้วยประการดังนี้
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี ได้ทรงฟังพระนาคเสนวิสัชนาดังนี้ก็ซ้องสาธุการว่า
สาธุ ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
อิทธิยา กัมมวิปากปัญหา คำรบ 1 จบเพียงนี้

โพธิสัตตัสส ธัมมตาปัญหา ที่ 2


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการถามถึงอรรถปัญหาแก่
พระนาคเสนต่อไปเล่าว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า พระพุทธฎีกาโปรดไว้
ในธรรมปริยายนั้นว่า พระโพธิสัตว์เจ้ามีที่บารมีแก่กล้าคงจะสำเร็จแก่พระโพธิญาณแล้วนั้น มี
พระพุทธบิดาพระพุทธมารดา เกิดกับสำหรับกันทุกชาติกว่าจะได้ตรัสนั้น เป็นนิตยธรรมดา
อยู่ประการ 1 โพธิ อันว่าไม้ที่จะได้ตรัสนั้นก็บังเกิดทุกพระองค์ เป็นนิตยธรรมดากระนี้อยู่
ประการ 1 ท่านผู้ที่จะเป็นอัครสาวกนั้นก็เกิดสำหรับกันเป็นธรรมดากระนี้ประการ 1 บุตรนั้นก็
เกิดสำหรับกันเป็นธรรมดากระนี้ประการ 1 พระพุทธอุปฐากเล่าก็เกิดสำหรับกันมาเป็นธรรมดา
สืบ ๆ มาทุกพระองค์ประการ 1 ตกว่า ทรงพระกรุณามีพระพุทธฎีกาตรัสไว้ในธรรมปริยายนั้น
ปุน จ ตุมฺเห ภณถ บัดนี้พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยมว่า พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเรานี้ เสด็จอยู่
ในดุสิตพิภพ เมื่อคำรบปัจฉิมชาติจะจุติลงมาตรัสนั้น ต้องพิจารณาซึ่งอัฏฐมหาวิโลกนะ 8

ประการ กาลํ วิโลเกติ คือเล็งแลดูกาลอันสมควรที่จะบังเกิดประการ 1 ทีปํ วิโลเกติ คือเล็ง
แลดูทวีปทั้ง 4 ที่เห็นว่า สมควรที่จะบังเกิดในชมพูทวีปนี้ประการ 1 เทสํ วิโลเกติ
คือดูซึ่งประเทศว่า ประเทศนั้นสมควรที่อาตมาจะไปเกิดนั้นประการ 1 กุลํ วิโลเกติ คือดู
ตระกูลว่าตระกูลพราหมณ์หรือตระกูลคหบดี หรือว่าตระกูลกษัตริย์ สมควรที่อาตมาจะไปเกิด
นั้นประการ 1 ชเนตฺตึ วิโลเกติ คือพิจารณาอายุสัตว์ว่าจะยืนควรที่จะโปรดได้นี้ประการ 1 มาสํ
ประการ 1 อายุํ วิโลเกติ คือพิจารณาอายุสัตว์ว่าจะยืนควรที่จะโปรดได้นี้ประการ 1 มาสํ
วิโลเกติ
คือ พิจารณาเดือนที่จะจุตินั้นประการ 1 เนกฺขมฺมํ วิโลเกติ คือพิจารณาว่าจะเสด็จ
ออกไปสู่มหาภิเนษกรมณ์ในประเทศขอบเขตราวป่าอันใดประการ 1 สิริเป็น 8 ประการ ดังที่
พรรณนามานี้ ชื่อว่า อัฏฐมหาวิโลกนะ นี่แหละถ้าพระบรมโพธิสัตว์เจ้ามีพระบารมียังอ่อนอยู่
ยังจะมิได้ตรัส พระโพธิสัตว์เจ้าจะยับยั้งอยู่ให้พระบารมีแก่แล้ว จึงจุติลงมาเกิดเป็นพระ
พุทธเจ้ากระนั้นจะไม่ได้หรือ จะต้องพิจารณาดูซึ่งอัฏฐมหาวิโลกนะ 8 ประการไปทำไม
ด้วยพระพุทธมารดานั้น ๆ ก็มีสำหรับอยู่เหมือนกันทุก ๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์จะต้องมา
พิจารณาดูมหาวิโลกนะ 8 ประการทำไม โยมใคร่ครวญดูคำทั้งสองนี้ไม่ต้องกัน อยํ กญฺโห
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ จงโปรดวิสัชนาให้แจ่มแจ้งก่อน
เถโร ฝ่ายพระนาคเสนก็ถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร
เดิมได้ถวายพระพรไว้ว่า สมเด็จพระบรมโลกนายกตรัสพระสัทธรรมเทศนาไว้ว่า พระโพธิสัตว์
ที่มีบารมีจะได้ตรัสนั้น มีพระพุทธบิดาพระพุทธมารดาเกิดสำหรับกัน จะได้วิปริตหามิได้ คำที่
อาตมาถวายพระพรอีกใหม่ว่า พระโพธิสัตว์เจ้าเมื่อจะมาตรัสนั้น เล็งแลดูซึ่งอัฏฐมหาวิโลกนะ
คำนี้ก็จริง และพระโพธิสัตว์พิจารณาดูซึ่งอัฏฐมหาวิโลกนะ คือพิจารณาดูตระกูลบิดามารดา
ใช่จะแคลงว่ามิใช่บิดามารดาหามิได้ พิจารณาดูไปรู้ว่าชาติตระกูลพระบิพามารดานั้น จะ
เป็นตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์มหาศาลประการใด พิจารณาดูกระนี้ต่างหาก นี่แหละ
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้ามาตรัสนั้น ต้องพิจารณาดูมหาวิโลกนะทุกพระองค์ ประการหนึ่ง เหตุที่
จะพึงแลดูในภายหน้านี้อยู่ 8 ประการ วานิชฺชสฺส มหาราช ปุพฺเพ วิกยภณฺฑํ ขอถวาย
พระพรบพิตรพระราชสมภาร ธรรมดาว่าพานิชพ่อค้าเมื่อจะขายของ รู้ว่าของเท่านั้นขายไป
เท่านั้น ครั้นแล้วไล่เลียงดูของนั้นอีกเล่าอย่างนี้ประการ 1 พระยาคชสารแม้นจะไปในสถาน
ที่ใดแล้ว ย่อมเอางวงจดไปภายหน้าประการ 1 พ่อค้าเกวียนรู้จักท่าขึ้นลงอยู่ แต่ว่าจำจะ
ดูท่าขึ้นท่าลงอีกเล่า ประการ 1 ล้าต้าต้นหนเดินทางทะเลแล่นไป ๆ ก็เข้าใจรู้อยู่ว่าท่าที่นั้น
เป็นท่าจอดก็จำจะดูอีกก่อน ประการ 1 แพทย์รู้แล้วว่าบุคคลเป็นไข้อันนั้น เมื่อจะวางยาก็
ต้องพิจารณาดูไข้นั้นก่อน ประการ 1 อสรพิษรู้ว่าปากล่องอยู่ที่นั้น ครั้นจะออกไป ต้องดู
ปากปล่องเสียก่อนแล้วจึงไป ประการ 1 ภิกษุรู้แล้วว่าจตุปัจจัยนั้น 4 ประการ คือ จีวร 1

บิณฑบาต 1 เสนาสนะ 1 เภสัช 1 ครั้นจะบริโภคก็ต้องปัจจเวกขณะพิจารณาเสียก่อนจึง
บริโภค ประการ 1 พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเมื่อจะจุติก็พึงแลดูก่อนประการ 1 สิริทั้งหมดเป็น 8
ประการด้วยกัน ยถา มีครุวนาฉันใด พระบรมโพธิสัตว์เมื่อจะมาตรัสในชมพูทวีปนี้เล่า
พระองค์เจ้ารู้อยู่ว่าจะเกิดในสำนักพระพุทธบิดา พระพุทธมารดา แต่ทว่าต้องพิจารณาดูตระกูล
พระพุทธบิดา พระพุทธมารดา เพื่อจะให้รู้ว่าเป็นขัตติยมหาศาลหรือ หรือว่าพราหมณมหาศาล
ตถา เปรียบปานฉันนั้นแล ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี ได้ทรงฟังพระนาคเสนวิสัชนาดังนี้ ก็สิ้นสงสัย
ซ้องสาธุการโดยนัยหนหลัง
โพธิสัตตัสส ธัมมตาปัญหา คำรบ 2 จบเพียงนี้

อัตตนิปาตนปัญหา ที่ 3


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี จึงมีพระราชปุจฉาถามพระนาคเสนสืบ
ไปว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา ภาสิตํปิ เหตํ ภควตา คำนี้ สมเด็จพระ
มหากรุณาเจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกฺขเว ดูรานะภิกษุทั้งหลาย ท่านอย่าพึงให้กายตัว
ของท่านตกไปโดยอธรรม แม้ท่านจะปรารถนาที่จะให้กายตัวของท่านตกไปนั้น พึงกระทำให้
ควรแก่ธรรม ตรัสฉะนี้แล้ว ปุน จ ครั้นนานมาใหม่เล่า สมเด็จพระมหากรุณาเจ้า เมื่อมีพระ
พุทธฎีกาแก่สาวกทั้งหลาย กลับทรงแสดงธรรมแนะนำให้ตัดความเกิดความแก่ความเจ็บความ
ตายเสีย สาวกรูปใดก้าวล่วงความเกิดความแก่ความเจ็บความตายได้ ก็ตรัสสรรเสริญ
สาวกรูปนั้นยิ่งนักหนา โยมมารำพึงดูคำทั้งสองนี้ไม่ต้องกัน คำเดิมนั้นว่าอย่างให้ตนตกไป คำที
หลังสอนให้ตัดความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ปริศนานี้นับในอุภโตโกฏิ จงโปรดวิสัชนา
ให้โยมแจ้งก่อน
พระนาคเสนถวายพระพรวิสัชนาว่า ภาสิตํ เจตํ มหาราช ดูรานะบพิตรพระราช-
สมภาร สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อย่าพึงทำตนให้ตกไปโดยอธรรม
พึงให้ตกไปโดยธรรม แล้วทรงแสดงธรรมแนะนำให้ตัดความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย
เสียนั้นมีเหตุอยู่ บางแห่งพระบรมครูก็ทรงห้าม บางแห่งก็ทรงชักนำตามควรแก่เหตุ มหาราช
ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร ธรรมดาว่าท่านผู้มีศีลย่อมดับพิษแห่งกิเลส อคทสโม